10 Gin สไตล์ London Dry สุดคลาสสิคที่ควรมีในบาร์

16 มิถุนายน 2025
Posted in: Recommended Liquors
More from this author
By MR.LIQ9

"กลิ่นจูนิเปอร์ที่คมชัด กับประวัติศาสตร์ของสุราที่อยู่เหนือกาลเวลา"

แม้ชื่อจะบอกว่า “London Dry” แต่แท้จริงแล้ว ไม่ได้จำกัดว่าต้องผลิตในลอนดอน มันคือ “สไตล์” ที่ถือกำเนิดในอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นมาตรฐานสากลของ Gin ที่ทั่วโลกใช้เป็นจุดอ้างอิงจนถึงปัจจุบัน

ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18-19 อังกฤษกำลังเผชิญยุค “Gin Craze” ผู้คนดื่มจินกันอย่างบ้าคลั่ง จนเกิดปัญหาสังคมจากจินคุณภาพต่ำที่ผลิตแบบลักลอบ (บางครั้งใส่สารพิษเพื่อเพิ่มรส!) ทางการจึงเริ่มเข้มงวดเรื่องคุณภาพ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Gin ที่ “สะอาด บริสุทธิ์ และควบคุมได้”

London Dry Gin จึงเกิดขึ้น — ด้วยกฎชัดเจนว่า:

✔ ต้องใช้จูนิเปอร์เป็นตัวหลัก (Juniper-forward)

✔ ห้ามเติมรสหรือสีหลังกลั่น

✔ ต้องกลั่นพร้อมส่วนผสมสมุนไพรธรรมชาติ (botanicals) เท่านั้น

✔ ห้ามเติมน้ำตาลเกิน 0.1 กรัมต่อลิตร

วิธีการผลิตแบบ “multi-distillation” หรือการกลั่นซ้ำใน copper still ทำให้ได้จินที่ใสสะอาด กลิ่นสมุนไพรคมชัด รสแห้งสนิท (dry) และดื่มง่ายจนกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก

London Dry Gin จึงไม่ได้เป็นแค่ “เครื่องดื่ม”

แต่มันคือ แก่นกลางของค็อกเทลคลาสสิก ตั้งแต่ Gin & Tonic, Martini, Negroni, Tom Collins จนถึง Aviation และ French 75

หากคุณกำลังมองหา Gin ที่คมสะอาด กลิ่นหอมสมุนไพรชัดเจน และเหมาะกับการทำค็อกเทลคลาสสิกอย่าง Gin & Tonic หรือ Martini — นี่คือ 10 แบรนด์ระดับตำนานที่ควรมีติดบาร์!


1. Tanqueray London Dry Gin

Tanqueray คือหนึ่งในแบรนด์จินที่ได้รับความเคารพและยกย่องมากที่สุดในโลก ก่อตั้งโดย Charles Tanqueray ในปี 1830 ณ ย่าน Bloomsbury, London — ชายหนุ่มผู้ไม่ยอมประนีประนอมกับคุณภาพ เขาใช้เวลาหลายปีในการทดลองสูตร เพื่อสร้างจินที่ “สมบูรณ์แบบทั้งกลิ่นและรสชาติ”

แม้โรงกลั่นจะถูกทำลายบางส่วนจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สูตรอันเป็นเอกลักษณ์ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และ Tanqueray ก็กลายเป็น “จินที่บาร์เทนเดอร์มืออาชีพทั่วโลกไว้วางใจ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสูตร London Dry Gin ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกและคุณภาพเหนือกาลเวลา

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ โทนจูนิเปอร์ชัดเจน – กลิ่นหอมของจูนิเปอร์เบอร์รี่ (juniper) นำเด่น สะอาด คมชัด

✔ กลิ่นสมุนไพรและส้ม – ผสานด้วยโทน coriander, licorice root และ citrus peel

✔ รสสัมผัสแห้ง สะอาด และคมชัด – ไม่มีความหวาน ปิดท้ายด้วยความเย็นและสมดุล

✔ เหมาะสำหรับค็อกเทลคลาสสิก – เช่น Gin & Tonic, Martini, Negroni หรือ French 75

  1. Tanqueray  Gin (750 ml)
    ราคาพิเศษ ฿1,158 ฿1,189 -3%
    Tanqueray Gin (750 ml)
    Explore

2. Beefeater London Dry Gin

Beefeater คือแบรนด์จินที่ยังคง “ผลิตในกรุงลอนดอน” อย่างแท้จริง ก่อตั้งในปี 1863 โดย James Burrough นักเคมีและผู้รักในศิลปะการกลั่นไว้อย่างลึกซึ้ง เขาตั้งใจสร้างจินที่ไม่เพียงแค่หอมสดชื่น แต่ต้องมี “ความคม ความสมดุล และบุคลิกแบบอังกฤษขนานแท้”

ชื่อ “Beefeater” ได้แรงบันดาลใจจากยามราชองครักษ์ของหอคอยลอนดอน (Tower of London) ซึ่งสะท้อนถึงความเข้มแข็ง มีเกียรติ และประวัติศาสตร์ จินรุ่นนี้จึงไม่ใช่เพียงสุรา…แต่มันคือ สัญลักษณ์แห่งลอนดอนในขวดเดียว

จนถึงวันนี้ Beefeater ยังคงใช้กรรมวิธีการกลั่นด้วยมือ (hand-crafted) และใช้ botanicals ทั้ง 9 ชนิดหมักรวมกันอย่างพิถีพิถันใน copper stills อันเก่าแก่กลางเมืองลอนดอน

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ จูนิเปอร์เบอร์รี่ชัดเจนแบบคลาสสิก – นำด้วยกลิ่นต้นตำรับของ London Dry

✔ สมดุลกลิ่น citrus และสมุนไพร – มีโน้ตของ lemon peel, orange peel, angelica root, และ coriander

✔ รสแห้ง คมกริบ และกลมกล่อม – เหมาะสำหรับคนที่ชอบจินสไตล์ดั้งเดิมโดยแท้จริง

✔ เหมาะสำหรับค็อกเทลคลาสสิกที่ต้องการโครงสร้างชัด – เช่น Negroni, Gin & Tonic, Gin Fizz หรือ Tom Collins

3. Bombay Sapphire London Dry Gin

Bombay Sapphire ไม่ได้เป็นเพียงจิน แต่คือ ไอคอนแห่งความหรูหราและความคิดสร้างสรรค์ แบรนด์นี้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1987 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสูตรจินดั้งเดิมที่ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1761

ชื่อ “Sapphire” มาจาก Star of Bombay อัญมณีแซฟไฟร์สีน้ำเงินล้ำค่าจากศรีลังกา ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์—รวมถึงขวดสีฟ้าที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

ความพิเศษของ Bombay Sapphire อยู่ที่กระบวนการกลั่นแบบ Vapour Infusion คือการกลั่นไอแอลกอฮอล์ผ่าน 10 ชนิดของสมุนไพร (botanicals) ที่วางไว้ในถาดทองเหลืองเหนือหม้อต้ม (แทนที่จะแช่รวมกัน) ทำให้ได้กลิ่นหอมที่ละเอียด ซับซ้อน และสะอาดมากกว่าวิธีดั้งเดิม

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ กลิ่นหอมอ่อนละมุนของดอกไม้และเครื่องเทศ – เช่น coriander, almond, lemon peel, cubeb berries

✔ ความสมดุลของ citrus และ earth tone – ให้ความรู้สึกหรูหราและสดชื่น

✔ รสสัมผัสนุ่มนวล ไม่แห้งเกินไป – เหมาะกับทั้งค็อกเทลและการจิบเดี่ยว

✔ เหมาะสำหรับ Gin & Tonic หอมละมุน, Martini แบบเบา หรือค็อกเทลแนว craft

4. Gordon’s London Dry

Gordon’s ก่อตั้งขึ้นในปี 1769 โดย Alexander Gordon — ชาวสก็อตผู้มีวิสัยทัศน์ว่า “หากจะทำจิน ต้องทำด้วยมาตรฐานที่ไม่อาจต่อรองได้” เขาย้ายมาเปิดโรงกลั่นใน Southwark, London และใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา สูตรลับ ที่กลายเป็นจินคลาสสิกของอังกฤษมาจนถึงปัจจุบัน

สิ่งที่ทำให้ Gordon’s เป็นที่จดจำคือ ความเสถียรในรสชาติและกลิ่น ไม่ว่าจะผลิตในยุคใด หรือจิบที่ประเทศไหน — Gordon’s จะยังคงให้รสที่แห้ง คม และสะอาดแบบ London Dry แท้ ๆ จนกลายเป็น “จินที่บาร์ทั่วโลกรักและไว้ใจ”

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ กลิ่นจูนิเปอร์ชัดเจนมาก – คม เข้ม และไม่ซับซ้อน เหมาะกับผู้ชอบจินคลาสสิก

✔ โทน citrus สดตัดกับรากสมุนไพรเบา ๆ – ให้ฟีลสะอาดและแห้งแต่ดื่มง่าย

✔ โครงสร้างแห้ง (dry) แบบแท้จริง – ไม่มีความหวาน ปลายลิ้นคมชัดและสดชื่น

✔ เหมาะกับการทำ Gin & Tonic ที่สะอาด สดใส หรือค็อกเทลคลาสสิกอย่าง Gin Sour

  1. Gordon's Dry Gin (700 ml) (Gin)
    ฿869
    Gordon's Dry Gin (700 ml)
    Rating:
    80%
    Explore

5. Sipsmith London Dry Gin

ในปี 2009 Sipsmith ได้กลายเป็นโรงกลั่นจินแห่งแรกใน กรุงลอนดอน ที่ได้รับใบอนุญาตใหม่ในรอบกว่า 200 ปี! สามผู้ก่อตั้ง – Sam Galsworthy, Fairfax Hall และ Jared Brown – มีวิสัยทัศน์ตรงกันว่า “จินควรจะกลับมาผลิตอย่างประณีต ด้วยมือ และในขนาดเล็กอีกครั้ง”

พวกเขาเชื่อว่า “จินที่ดีต้องสะท้อนความสมดุล ความชัดของจูนิเปอร์ และกลิ่นที่ซับซ้อนจากธรรมชาติ” จึงเลือกใช้การกลั่นแบบดั้งเดิมด้วยหม้อทองแดง (copper pot still) และเน้นการควบคุมคุณภาพในทุกรายละเอียด — นี่คือจินที่เปลี่ยนโลกของ craft gin ไปตลอดกาล

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ กลิ่นจูนิเปอร์นำชัดเจน พร้อมกลิ่นส้มสด ดอกไม้ และสมุนไพร

✔ ใช้ 10 botanicals แบบคลาสสิก เช่น lemon peel, coriander seed, angelica root

✔ สัมผัสรสแห้งแบบ London Dry แต่มีความ “กลมกล่อมและละเมียด” แบบคราฟต์

✔ เหมาะสำหรับ Gin & Tonic หอมซับซ้อน, Negroni แบบมีมิติ หรือจิบเดี่ยว ๆ ก็เพลิน

6. Fords London Dry Gin

Fords Gin ถือเป็น “จินสายบาร์” ตัวจริงที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของ Simon Ford — อดีตแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเหล้าชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งโรงกลั่นโดยมีเป้าหมายชัดเจน:

“สร้างจินที่ดีที่สุดสำหรับการทำค็อกเทล ไม่ใช่แค่ดื่มเปล่า”

เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 Fords Gin ผลิตด้วยการร่วมมือกับ Thames Distillers ใจกลางลอนดอน โดยใช้สูตรที่คิดค้นขึ้นจากการสัมภาษณ์บาร์เทนเดอร์ทั่วโลกกว่า 100 คน — จึงได้ออกมาเป็นจินที่มีกลิ่นสมดุล ใช้งานง่าย และมี “น้ำหนัก” พอจะโดดเด่นในค็อกเทลทุกประเภท

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ กลิ่นจูนิเปอร์นำพอดี ไม่รุนแรงเกิน ไม่บางจนจืด

✔ ผสม botanicals 9 ชนิด เช่น ส้มเลมอนจากสเปน, จูนิเปอร์จากอิตาลี, มะลิ และ angelica root

✔ รสสัมผัสแห้ง กลมกล่อม มีเนื้อสัมผัส (mouthfeel) ชัดเจน – เหมาะสำหรับค็อกเทลที่ซับซ้อน

✔ ออกแบบมาเพื่อใช้กับค็อกเทลโดยเฉพาะ – ทั้ง Martini, Negroni, French 75 หรือ Gin Sour

  1. Fords Gin (750 ml)
    ฿1,459
    Fords Gin (750 ml)
    Explore

7. Boodles British Gin

Boodles British Gin ก่อตั้งขึ้นในปี 1845 และตั้งชื่อตาม “Boodle's Gentlemen’s Club” ในกรุงลอนดอน — คลับส่วนตัวของสุภาพบุรุษชั้นสูง ซึ่งเคยเป็นสถานที่สังสรรค์ของบุคคลสำคัญอย่าง Sir Winston Churchill

จินแบรนด์นี้ตั้งใจออกแบบมาเพื่อสะท้อน “บุคลิกของสุภาพบุรุษอังกฤษที่สุขุม ละเมียด และไม่หวือหวา” ด้วยการตัด citrus peel ออกไปอย่างสิ้นเชิง แล้วหันมาใช้ สมุนไพรแห้ง เช่น rosemary, sage และ nutmeg เพื่อให้เกิดกลิ่นที่ “สงบและขรึม” มากกว่าความสดชื่นแบบฟรุ๊ตตี้

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ ไร้กลิ่น citrus อย่างตั้งใจ – มอบโทนกลิ่นหอมจากสมุนไพรแห้ง เช่น sage, rosemary, angelica

✔ โทน earth และ spice ชัดเจน – ให้ความรู้สึกอบอุ่นและลุ่มลึก

✔ รสสัมผัสแห้ง นุ่มละมุน และเงียบขรึม – ไม่หวาน ไม่จัดจ้าน แต่คงความสมดุลในแบบคลาสสิก

✔ เหมาะสำหรับ Gin Martini, Vesper, หรือการจิบเปล่า ๆ กับน้ำแข็ง – โดยไม่ต้องมี citrus garnish

8. Hawthorn’s London Dry Gin

Hawthorn’s Gin ถือกำเนิดจากเรื่องราวจริงของ Lieutenant Commander Michael Wallrock – นายทหารเรือแห่งราชนาวีอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้รักในการดื่มจินอย่างยิ่ง หลังสงคราม เขาได้พัฒนา “สูตรลับของตัวเอง” เพื่อกลั่นจินจากสมุนไพรธรรมชาติตามสไตล์ London Dry แบบดั้งเดิม

หลายสิบปีต่อมา หลานชายของเขาได้ค้นพบสูตรนั้นในเอกสารโบราณ และฟื้นฟูจินสูตรคุณปู่ขึ้นมาอีกครั้งในนาม Hawthorn’s — เพื่อเป็นการเชิดชูจิตวิญญาณของผู้กล้าและรสชาติแห่งความเรียบง่ายของจินอังกฤษสายคลาสสิก

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ กลิ่นจูนิเปอร์นำชัดเจน พร้อมกลิ่น citrus และสมุนไพรแห้งในโทนสะอาด

✔ ใช้ botanicals 10 ชนิด เช่น nutmeg, cassia bark, clove, และ lemon peel

✔ รสสัมผัสแห้งแบบคลาสสิก แต่มีความนุ่มดื่มง่ายและสะอาดในปลายลิ้น

✔ เหมาะกับการทำ Gin & Tonic สดชื่น หรือ Tom Collins ที่มีโครงสร้างสมดุล

9. Bulldog London Dry Gin

Bulldog Gin เปิดตัวในปี 2007 โดย Anshuman Vohra อดีตนักการเงินชาวนิวยอร์กผู้หลงใหลในศิลปะของการกลั่น เขาตั้งใจสร้าง จินที่ผสมผสานความดั้งเดิมของ London Dry กับคาแรกเตอร์ร่วมสมัย ที่แหวกขนบเดิม ๆ

ขวดสีเทาดำทรงเตี้ยพร้อมปลอกคอคล้ายปลอกสุนัข คือสัญลักษณ์ของความกล้า ความมั่นใจ และความแตกต่างที่ Bulldog ต้องการจะสื่อ—เช่นเดียวกับรสชาติที่หาญกล้าผสม botanicals นานาชาติถึง 12 ชนิด รวมถึงกลีบบัว มะละกอ ใบโหระพา และดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งหาไม่ได้ง่ายใน London Dry Gin ทั่วไป

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ กลิ่นจูนิเปอร์เบา พร้อมกลิ่น floral & spice ที่แปลกใหม่

✔ ใช้ botanicals หลากหลายจาก 8 ประเทศ เช่น white poppy, dragon eye (คล้ายลำไยจีน), และ lavender

✔ รสสัมผัสนุ่ม ลื่น ไม่นำด้วยจูนิเปอร์แบบเดิม ๆ แต่บาลานซ์และมีสไตล์เฉพาะตัว

✔ เหมาะสำหรับค็อกเทลทันสมัย เช่น G&T แบบ floral, หรือ Gin Basil Smash

10. Martin Miller's Gin

Martin Miller’s Gin กำเนิดขึ้นจากความหลงใหลใน “ความสมบูรณ์แบบที่ไร้ข้อแม้” ของ Martin Miller นักเขียน นักสะสมงานศิลป์ และนักเดินทางชาวอังกฤษ ผู้เชื่อว่าจินสามารถเป็นได้มากกว่าที่โลกเคยรู้จัก

ในปี 1999 เขาเริ่มต้นภารกิจเพื่อสร้างจินที่ดีที่สุดในโลก โดยผสมผสานกรรมวิธีดั้งเดิมของอังกฤษเข้ากับ “น้ำบริสุทธิ์จากธารน้ำแข็งไอซ์แลนด์” ซึ่งต้องขนส่งจากอังกฤษไปกลั่น แล้วนำกลับไปผสมน้ำและพักในไอซ์แลนด์อีกครั้ง — เส้นทางกว่า 3,000 ไมล์ที่ไม่มีใครทำ เพื่อรังสรรค์รสชาติอันสมบูรณ์แบบ

คาแรกเตอร์เด่น:

✔ กลั่นแบบแยกส่วน (Split Distillation) – พฤกษชาติหลัก เช่น Juniper และรากต่าง ๆ ถูกกลั่นแยกจากพืชกลิ่นหอม เช่น ส้ม มะนาว เพื่อควบคุมสมดุลระหว่างกลิ่นคลาสสิกและความสดใส

✔ กลิ่นหอมสะอาด ซับซ้อน – ผสานกลิ่นสนเขียว (juniper) กับซีตรัสชัดเจนจากเปลือกส้ม และโน้ตของลาเวนเดอร์และแตงกวา

✔ สัมผัสเนียน ลื่นไหล และสดชื่น – ด้วยน้ำแร่จากไอซ์แลนด์ที่มีค่า pH ต่ำและความบริสุทธิ์สูง ช่วยให้จินนุ่มเป็นพิเศษ

✔ เหมาะสำหรับ Gin Tonic ระดับพรีเมียม หรือจิบแบบเพียวๆ ก็ยังได้รสสัมผัสแบบ “British Elegance”