“จิน” คืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่รักของสายคราฟต์
หากพูดถึงสุรากลั่นที่ถูกยกให้เป็น “ของรักของนักดื่มสายคราฟต์” ในยุคนี้ หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “จิน” (Gin) อย่างแน่นอน เพราะจินไม่ใช่แค่สุราธรรมดา แต่คือเครื่องดื่มที่ผสมผสาน ศาสตร์ของการกลั่น + ศิลปะของกลิ่นหอม ไว้อย่างประณีต ด้วยพืชและสมุนไพรที่เรียกว่า Botanicals กว่า 10–30 ชนิดในแต่ละแบรนด์
จินคือเครื่องดื่มที่ "ไม่มีคำว่าซ้ำ" แต่ละสูตรมีบุคลิกของตัวเอง ราวกับเป็น “น้ำหอมแห่งโลกของเหล้า” บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับจินให้ลึกขึ้น ตั้งแต่ประวัติที่ย้อนกลับไปถึงยุโรปยุคกลาง จนถึงจินยุคใหม่ในขวดคราฟต์ดีไซน์เก๋ที่คุณเห็นบนชั้นบาร์ พร้อมเฉลยว่า…
ทำไมคนรักคราฟต์ถึงตกหลุมรักจินได้แบบถอนตัวไม่ขึ้น?
จินคืออะไร?
Gin (จิน) คือสุรากลั่นที่ใช้ แอลกอฮอล์ที่เป็นกลาง (Neutral Spirit) เป็นตัวตั้งต้น แล้วปรุงแต่งกลิ่นด้วย “พืชสมุนไพรและเครื่องเทศ” ที่เรียกรวมกันว่า Botanicals
ส่วนผสมที่ขาดไม่ได้ในจินทุกชนิดคือ Juniper Berry (ผลจูนิเปอร์) ซึ่งให้กลิ่นหอมแบบ “สนเข็ม” และเป็นหัวใจของจินทั่วโลก
จินมีระดับแอลกอฮอล์ประมาณ 37.5–47% ABV แล้วแต่สไตล์ แต่จุดเด่นของมันไม่ใช่ความแรง...
แต่คือ “กลิ่นหอมและบุคลิกที่หลากหลาย” ที่มาจากพืชมากกว่า 10 ชนิด เช่น
⦿ เปลือกส้ม มะนาว
⦿ โป๊ยกั๊ก อบเชย
⦿ ลูกผักชี ดอกลาเวนเดอร์
⦿ เมล็ดยี่หร่า พริกไทยดำ ฯลฯ
จินจึงเป็น “สุราที่มีลายเซ็นเฉพาะตัว” และให้ประสบการณ์การดื่มที่เหมือนเล่นกับกลิ่นหอมในป่า สมุนไพร และวัฒนธรรมท้องถิ่นของผู้ผลิต
< ↑ Explore : Sipsmith London Dry Gin >
ประวัติจิน – จากยาสมุนไพร สู่เครื่องดื่มที่คราฟต์ที่สุดในโลก
จุดกำเนิด: จากแพทย์ในยุโรปยุคกลาง
ต้นกำเนิดของจินย้อนไปถึง ศตวรรษที่ 11–12 เมื่อนักเล่นแร่แปรธาตุและแพทย์ในยุโรป เริ่มกลั่นแอลกอฮอล์ผสมกับสมุนไพรเพื่อทำ “ยา” ในยุคนั้น Juniper Berry ถือเป็นพืชที่ช่วยเรื่องระบบทางเดินปัสสาวะ และการฆ่าเชื้อ
กำเนิด Gin ในเนเธอร์แลนด์ (ศตวรรษที่ 17)
ทหารชาวดัตช์ขณะดื่มจิน
จินในแบบที่เรารู้จักในปัจจุบัน มีต้นกำเนิดจากเนเธอร์แลนด์ในชื่อว่า “Genever” เป็นการกลั่นสุราผสมจูนิเปอร์ที่เรียกได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของ Gin
Genever ถูกใช้เป็นยารักษาโรค แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 17 ก็เริ่มกลายเป็นเครื่องดื่มที่ทหารดัตช์นิยมดื่มเพื่อ “ให้กำลังใจ” ก่อนออกศึก – เกิดเป็นวลี “Dutch Courage” ที่โด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน
Gin Craze ในอังกฤษ (ศตวรรษที่ 18)
ภาพวาดจากเหตุการณ์ Gin Craze ในอังกฤษ
ในช่วงปี 1700s อังกฤษเริ่มนำ Genever เข้ามา และเริ่มผลิตเองในชื่อว่า “Gin” จินราคาถูก แพร่หลายในชนชั้นแรงงาน และในยุคหนึ่งถึงกับเกิด “Gin Craze” หรือ ยุคที่คนอังกฤษเมาแหลกจากจิน จนรัฐบาลต้องออกกฎหมายจำกัดการผลิต แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความกระหาย Gin ลดลงไปเลย จนเกิดเป็น Gin รูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาในช่วงนั้น เช่น Old Tom Gin และแบบทำเองในบ้าน อย่าง Bathtub Gin
หลังจากนั้นจินจึงถูกควบคุมคุณภาพมากขึ้น และพัฒนาเข้าสู่สไตล์หรู เช่น London Dry Gin ที่ใช้เทคนิคการกลั่นร่วมกับพืชสมุนไพรแบบไม่เติมแต่ง
Gin กลับมาฮิตอีกครั้งในศตวรรษที่ 21
หลังจากยุคทองของ Whisky และ Vodka ผ่านไป... Gin กลับมาได้รับความนิยมในยุค Craft Movement
คนรุ่นใหม่เริ่มสนใจ:
⦿ กลิ่นที่แตกต่างของแต่ละแบรนด์
⦿ วิธีการกลั่นแบบ Local
⦿ พืชท้องถิ่น เช่น ใบมะกรูด กุหลาบ ใบเตย ฯลฯ
⦿ การจับคู่กับโทนิกแบบพิเศษ (Craft Tonic)
Craft Gin จึงกลายเป็น “สนามสร้างสรรค์ของนักกลั่นรุ่นใหม่” และกลายเป็นสินค้าที่โดดเด่นในบาร์ทั่วโลก
ทำไมสายคราฟต์ถึงหลงใหลใน Gin?
1. กลิ่นคือ DNA – ไม่มีจินแบรนด์ไหนเหมือนกัน
เพราะแต่ละแบรนด์เลือกใช้ Botanicals ต่างกัน และบางแห่งใช้พืชพื้นบ้านที่ไม่มีในประเทศอื่น
2. จินทำให้คน “ดื่มผ่านจมูก” ได้อย่างแท้จริง
กลิ่นของ Lavender, Citrus, Pepper, หรือ Thai Herbs ต่างๆ ทำให้จินคือสุราที่คนดื่มเพื่อ “เสพกลิ่น” อย่างแท้จริง
3. สร้างสรรค์แบบไม่มีเพดาน
Craft Gin ให้คุณออกแบบทั้ง “สูตร” และ “บุคลิก” ของแบรนด์ เช่น Gin ที่กลั่นในโรงกลั่นญี่ปุ่นจะเน้นความสะอาด, กลั่นในฝรั่งเศสจะเน้นดอกไม้, หรือกลั่นในไทยอาจใช้มะกรูด ใบเตย ตะไคร้
4. ผสมง่าย เล่นได้หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็น Gin & Tonic, Martini หรือ Negroni - Gin ก็พร้อมจะเป็นพระเอกในทุกแก้ว
ตัวอย่างจินที่น่าสนใจ
< ↑ The Botanist (Scotland) – ใช้พืชสมุนไพรจากเกาะ Islay กว่า 22 ชนิด >
< ↑ Roku Gin (Japan) – ผสมซากุระ ยูซุ และชาเขียวญี่ปุ่น >
< ↑ Iron Balls (Thailand) – จินจากสับปะรด ขิง และมะพร้าวไทย>
< ↑ Monkey 47 (Germany) – กลั่นจากพืช 47 ชนิด ให้กลิ่นละเอียดสุดขั้ว >
< ↑ Hendrick’s – จินคลาสสิกที่มีกลิ่นแตงกวาและดอกกุหลาบเป็นเอกลักษณ์ >
Gin ไม่ใช่สุรา... แต่มันคือ “บทกวีของกลิ่น”
ถ้า Vodka คือแคนวาสเปล่า
ถ้า Whisky คือบทเพลงเก่าแก่
Gin ก็คือบทกลอนที่เขียนจากพืชและกลิ่นเฉพาะตัวในทุกประเทศ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ หรือสายคราฟต์ที่กำลังหา “กลิ่นประจำตัว” Gin คือคำตอบที่ไม่เคยซ้ำ และพร้อมให้คุณค้นพบเสมอ