10 Recommend Spirits July 2025 Week 3

14 กรกฎาคม 2025
Posted in: Recommended Liquors
More from this author
By MR.LIQ9

10 สินค้าแนะนำประจำสัปดาห์จาก LIQ9.asia

สัปดาห์นี้ LIQ9.asia ขอพาทุกคนไปรู้จักกับ 10 เครื่องดื่มที่โดดเด่นและน่าสะสมที่สุดแห่งช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นวิสกี้ระดับตำนานจากสกอตแลนด์อย่าง The Dalmore 12 Years หรือ Glenfiddich 18 Years ไปจนถึง Single Malt สัญชาติไทยอย่าง Prakaan Single Malt Tribura Series ที่กำลังมาแรงในหมู่สายดื่มช่วงนี้

เรายังคัดสรรเหล้ารัม Ron Zacapa 23 Years สุดลึกซึ้งจากกัวเตมาลา จินสุดสร้างสรรค์จากไอร์แลนด์อย่าง Drumshanbo Gunpowder, Vermouth คลาสสิกระดับตำนานจากอิตาลี Martini Extra Dry, ไปจนถึง Grappa และ Bitters สไตล์อาร์ตจากฝรั่งเศสและอิตาลี ที่จะทำให้บ้านของคุณกลายเป็นบาร์ระดับโลกแบบมีสไตล์

ครบทุกอารมณ์ ทั้งคลาสสิก หรูหรา แปลกใหม่ และกลิ่นอายงานฝีมือจากทั่วโลก พร้อมให้คุณเลือกสรรได้แล้ววันนี้ที่ LIQ9.asia


1. Prakaan Single Malt Whisky Tribura Series Select Cask

เบื้องหลังของ Prakaan Tribura Series คือการเดินทางของแบรนด์ไทยที่กล้าฉีกกรอบการทำวิสกี้แบบดั้งเดิม ด้วยแรงบันดาลใจจาก “ไตรภูมิ” หรือโลกทั้งสามในความเชื่อแบบไทย ผสานกับศาสตร์การกลั่นระดับสากล Prakaan ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องดื่ม แต่คือการตีความใหม่ของความเป็นไทย ผ่านมอลต์ วิสกี้ที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพสูง และการบ่มอย่างพิถีพิถันในถังไม้โอ๊กแบบคัสตอมเฉพาะ เพื่อสร้างรสชาติที่โดดเด่นและลุ่มลึกไม่เหมือนใคร

Tribura Series Select Cask คือผลงานที่เกิดจากการเลือกถังบ่มพิเศษ (Select Cask) โดย Master Blender ของ Prakaan ซึ่งคัดเฉพาะถังที่ให้คาแรกเตอร์กลิ่นและรสกลมกล่อมซับซ้อนที่สุดในแต่ละรอบการบ่ม ถือเป็นรุ่นที่นักสะสมและผู้หลงใหลในซิงเกิลมอลต์ไม่ควรพลาด

คาแรกเตอร์เด่น:

กลิ่นอายความเป็นไทยในรูปแบบซิงเกิลมอลต์ระดับพรีเมียม
Prakaan คือนิยามใหม่ของวิสกี้ไทย ที่กลั่นจากข้าวบาร์เลย์คุณภาพสูง ผสานกลิ่นอายของวัฒนธรรมท้องถิ่นและภูมิปัญญาแบบคราฟต์ ถ่ายทอดผ่านรสชาติที่ลุ่มลึกและเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

คัดสรรถังบ่มเฉพาะ (Select Cask) เพื่อรสชาติที่ดีที่สุดในแต่ละรุ่น
รุ่นนี้เป็นผลผลิตจากถังบ่มพิเศษที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ให้โน้ตรสชาติที่สมดุลระหว่างวานิลลา ไม้โอ๊กคั่ว คาราเมลเค็ม และกลิ่นผลไม้แห้ง จนกลายเป็นซิงเกิลมอลต์ที่มีโทนรสชาติโดดเด่นเฉพาะตัว

กลิ่นหอมซับซ้อนแบบ multi-layered
เมื่อรินลงแก้ว กลิ่นหอมของน้ำผึ้ง เปลือกส้มแห้ง อบเชย และกลิ่นดินหลังฝน จะค่อย ๆ เผยตัวอย่างมีชั้นเชิง มอบประสบการณ์การดื่มที่น่าหลงใหลตั้งแต่จิบแรกถึงหยดสุดท้าย

สมดุลระหว่างความเข้มข้นและความนุ่มละมุน
เนื้อสัมผัสแน่นแต่ลื่นไหล พร้อมกลิ่นควันบาง ๆ ที่ตัดกับความหวานของไม้โอ๊กและกลิ่นสมุนไพรแบบไทยเบา ๆ ดื่มแล้วน่าค้นหา เหมาะสำหรับนักดื่มที่ชื่นชอบความลึกซึ้งและแปลกใหม่

ความภาคภูมิใจของนักกลั่นไทยบนเวทีสากล
ไม่ใช่แค่ซิงเกิลมอลต์ฝีมือคนไทย แต่คือผลงานที่สามารถยืนเคียงข้างวิสกี้ระดับโลกได้อย่างสง่างาม เป็นตัวแทนของฝีมือและความตั้งใจที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด

 

2.Saint James Aromatic Cocktail Bitters

Saint James คือชื่อที่สืบทอดจากตำนานแห่งแคริบเบียน โดยเริ่มต้นจากโรงกลั่นรัมอายุกว่า 250 ปีในมาร์ตีนีก (Martinique) เกาะเล็ก ๆ ในทะเลแคริบเบียนที่ขึ้นชื่อเรื่องอ้อยคุณภาพสูงและสูตรการกลั่นรัมที่เข้มข้นไม่เหมือนใคร แต่ Saint James ไม่ได้หยุดอยู่แค่รัมเท่านั้น พวกเขาได้นำความรู้ด้านการสกัดรสชาติและการผสมสมุนไพรมาต่อยอดสู่ Aromatic Bitters ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ด้วยแรงบันดาลใจจากสูตรขมแบบดั้งเดิมของยุโรป ผสานกับวัตถุดิบจากหมู่เกาะแคริบเบียน Saint James Aromatic Bitters ได้รับการพัฒนาให้มีกลิ่นหอมแบบเข้มข้น ซับซ้อน และสามารถยกระดับค็อกเทลแก้วโปรดของคุณให้มีมิติและสมดุลยิ่งขึ้น

คาแรกเตอร์เด่น:

กลิ่นหอมลึกแบบแคริบเบียน ในสไตล์ยุโรป
Saint James Aromatic Bitters ผสานวัตถุดิบจากหมู่เกาะแคริบเบียน เช่น เปลือกไม้ เครื่องเทศ และพืชสมุนไพรหายาก เข้ากับสูตรกลั่นสไตล์ยุโรปแบบดั้งเดิม สร้างกลิ่นหอมที่ทั้งลึก เข้มข้น และเต็มไปด้วยมิติ

ปรุงแต่งกลิ่นและรสค็อกเทลอย่างมีชั้นเชิง
เพียงไม่กี่หยด ก็สามารถเติม “โครงสร้างรสชาติ” ให้กับค็อกเทลอย่าง Old Fashioned, Manhattan หรือแม้แต่ Espresso Martini ให้กลมกล่อม สมดุล และมีกลิ่นหอมยั่วยวนราวกับผ่านมือบาร์เทนเดอร์มืออาชีพ

เครื่องมือลับของคนรักค็อกเทล
Bitters ขวดนี้คืออาวุธลับที่เปลี่ยนค็อกเทลธรรมดาให้กลายเป็นประสบการณ์ระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นสายคราฟต์ สายครีเอทีฟ หรือแม้แต่มือใหม่ก็ใช้งานได้ง่าย แต่ผลลัพธ์กลับน่าทึ่งเกินคาด

สูตรเฉพาะจาก Saint James – ผู้เชี่ยวชาญด้านกลิ่นรส
ด้วยความเชี่ยวชาญกว่า 2 ศตวรรษของ Saint James แบรนด์จาก Martinique ที่รู้จักดีในแวดวงรัมระดับโลก Bitters ขวดนี้จึงเต็มไปด้วยความประณีต ลุ่มลึก และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่หาใครเหมือนได้ยาก

 

3. The Dalmore 12 Years Old

The Dalmore คือหนึ่งในแบรนด์ซิงเกิลมอลต์ที่มีตำนานยาวนานและสง่างามแห่งสก็อตแลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1839 บนชายฝั่งของ Firth of Cromarty ในเขต Highland โดยมีสัญลักษณ์ “หัวกวางสิบสองง่าม” เป็นมรดกจากตระกูล Mackenzie ผู้มีบทบาทสำคัญต่อการยกระดับแบรนด์นี้ในช่วงศตวรรษที่ 19

ตลอดกว่า 180 ปีของการกลั่น The Dalmore โดดเด่นในเรื่องของ "ศิลปะการบ่ม" ที่เหนือระดับ โดยใช้ถังไม้โอ๊ก ex-bourbon และถังเชอร์รี่ Oloroso จากสเปนอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างซิงเกิลมอลต์ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เต็มไปด้วยความลุ่มลึก หรูหรา และกลมกล่อมเฉพาะตัว

รุ่น 12 ปีนี้ เป็น “ประตูแห่งรสนิยม” ที่พาเข้าสู่โลกของ Dalmore อย่างแท้จริง

คาแรกเตอร์เด่น:

ศิลปะแห่งการบ่มที่มีเพียงไม่กี่แบรนด์ในโลกทำได้
The Dalmore 12 Years Old คือผลลัพธ์ของการบ่มแบบ “Two-Part Maturation” ที่ประณีต เริ่มต้นในถัง Bourbon American White Oak มอบความหวานแบบวานิลลาเนียนนุ่ม ก่อนจะย้ายเข้าสู่ถัง Oloroso Sherry จากสเปนที่คัดสรรมาจาก Jerez โดยเฉพาะ ทำให้ได้กลิ่นและรสที่ทั้งลุ่มลึก หอมผลไม้แห้ง และอบอวลไปด้วยเครื่องเทศอ่อน ๆ — ศิลปะที่ Dalmore เชี่ยวชาญอย่างหาตัวจับยาก

กลิ่นหอมลุ่มลึก รสสัมผัสหรูหรา
กลิ่นแรกคือความหอมของช็อกโกแลตนม ทอฟฟี่ และเปลือกส้มแห้ง ก่อนจะตามด้วยกลิ่นอบเชย ถั่วอัลมอนด์ และโอ๊กเก่าในช่วงท้าย รสสัมผัสเนียนนุ่มบนลิ้น แต่เต็มไปด้วยโทนรสลึกซึ้งที่ค่อย ๆ คลี่ตัวอย่างสง่างามในทุกจิบ

หัวกวาง 12 ง่าม – สัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและมรดกสก็อตแลนด์
โลโก้หัวกวางอันเป็นตำนานของ Dalmore ไม่ใช่แค่เครื่องหมายทางการค้า แต่เป็นมรดกจากตระกูล Mackenzie ที่สื่อถึงความกล้าหาญและความเป็นผู้นำ กลายเป็นเอกลักษณ์ที่นักสะสมทั่วโลกต่างยกย่อง

ซิงเกิลมอลต์สำหรับผู้ที่ “เริ่มต้นอย่างมีรสนิยม”
หากคุณกำลังมองหาวิสกี้ที่ให้รสชาติลุ่มลึก หรูหรา แต่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป Dalmore 12 คือทางเลือกที่ยอดเยี่ยม — ทั้งสำหรับการดื่มเดี่ยว หรือเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเปิดโลกแห่ง Highland Malt ชั้นสูง

  1. The Dalmore 12 Years Old (700 ml) (Whisky)
    ราคาพิเศษ ฿3,328 ฿3,589 -7%
    The Dalmore 12 Years Old (700 ml)
    Explore

4. Martell Noblige

Martell คือหนึ่งใน เมซงคอนญัก ที่เก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1715 โดย Jean Martell บนฝั่งแม่น้ำ Charente ในเขต Cognac อันเลื่องชื่อ แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักจากความประณีตในการเลือกใช้องุ่นจากเขต Borderies และการกลั่นที่พิถีพิถันโดยไม่ใช้เศษไม้โอ๊กระหว่างการกลั่น เพื่อให้ได้คอนญักที่เนียนและกลมกล่อมกว่าใคร

Martell Noblige คือหนึ่งในรุ่นที่สื่อถึงแนวคิดของ “Noblesse Oblige” หรือ “เกียรติยศย่อมนำมาซึ่งความรับผิดชอบ” ได้อย่างสง่างาม ด้วยการออกแบบที่ร่วมสมัย บ่งบอกถึงรสนิยมของคนรุ่นใหม่ที่รักความหรูหราแต่ยังคงความคลาสสิกในเนื้อแท้

คาแรกเตอร์เด่น:

ความกลมกล่อมที่สะท้อนความมั่นใจและรสนิยมร่วมสมัย
Martell Noblige คือคอนญักที่ไม่เพียงแต่หรูหรา แต่ยังเต็มไปด้วยคาแรกเตอร์ของผู้ดื่มที่มีสไตล์เฉพาะตัว ทั้งอบอุ่น กล้าคิดต่าง และมั่นใจในเส้นทางของตน กลิ่นหอมของลูกแพร์เชื่อม ลูกพลัมแห้ง วานิลลา และเครื่องเทศละเอียด ช่วยสร้างบรรยากาศที่มีระดับตั้งแต่จิบแรก

รสสัมผัสเนียนนุ่มจากศิลปะการกลั่นระดับสูง
ด้วยกรรมวิธีการกลั่นเฉพาะตัวของ Martell ที่ไม่ใช้ “ลีส์” (lees-free distillation) ทำให้ Noblige มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุน ลื่นไหลไร้เหลี่ยม ขับเน้นความหวานนวลแบบโอ๊กเก่า และผลไม้สุกได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกรายละเอียด

ตัวแทนของ “French Sophistication” ในโลกยุคใหม่
Martell Noblige คือคำตอบของผู้ที่ต้องการคอนญักที่ไม่โบราณ แต่ยังคงรากฐานของความสง่างามแบบฝรั่งเศส เป็นคอนญักที่พูดได้ว่า “หรูหราแบบมีทัศนคติ” จิบแล้วรับรู้ได้ถึงความแตกต่างอย่างแท้จริง

 

5. Drumshanbo Gunpowder Irish Gin

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ Drumshanbo ใน County Leitrim ทางตอนเหนือของไอร์แลนด์ มีโรงกลั่นขนาดเล็กที่ชื่อว่า The Shed Distillery ที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในศาสตร์การกลั่นแบบดั้งเดิมและจิตวิญญาณของการค้นหาใหม่ ๆ

Drumshanbo Gunpowder Gin ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางรอบโลกของหัวหน้าผู้กลั่น PJ Rigney ซึ่งผสมผสานสมุนไพรแบบดั้งเดิมของยุโรปเข้ากับส่วนผสมล้ำค่าจากโลกตะวันออก เช่น ใบชา Gunpowder (ชาจีนเขียวอบแห้ง), มะกรูด, เมล็ดยี่หร่า และส้มจันทร์จากอินเดีย

ผลลัพธ์คือจินที่โดดเด่น แตกต่าง และเต็มไปด้วยบุคลิก เหมาะสำหรับนักดื่มที่หลงใหลในกลิ่นรสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

คาแรกเตอร์เด่น:

ชา Gunpowder – หัวใจของกลิ่นรสที่แตกต่าง
จินขวดนี้ได้ชื่อมาจากใบชาเขียวแบบจีนที่เรียกว่า “Gunpowder Tea” ซึ่งผ่านการอบแบบม้วนกลม ให้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ สดชื่น แฝงความเผ็ดร้อนบางเบา และเป็นหัวใจของรสชาติที่แตกต่างจากจินทั่วไป

การเดินทางข้ามวัฒนธรรมในหนึ่งแก้ว
Drumshanbo Gunpowder Gin คือการผสานความหอมของสมุนไพรตะวันตกกับผลไม้และเครื่องเทศจากโลกตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นมะกรูด ยี่หร่า ส้มจันทร์ และชะเอมเทศ มอบรสชาติที่ “มีชีวิตชีวาแบบเอเชีย และมีรากลึกแบบยุโรป”

กลั่นด้วยหม้อทองแดงแบบดั้งเดิม เพื่อความประณีตสูงสุด
โรงกลั่น The Shed ใช้ Copper Pot Still ในการกลั่นแบบโบราณ ซึ่งช่วยดึงเอา “แก่นแท้ของสมุนไพร” ออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ทุกหยดของจินขวดนี้มีความนุ่มนวล ซับซ้อน และบาลานซ์อย่างน่าทึ่ง

สูตรจินที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
Drumshanbo Gunpowder Gin คือหนึ่งใน Craft Gin ที่ได้รับความนิยมสูงในหลายประเทศ ด้วยรางวัลและเสียงชื่นชมจากบาร์เทนเดอร์ระดับโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องดื่มคราฟต์

 

6. Nonino Grappa Friulana

Grappa (กรัปป้า) คือสุรากลั่นแบบดั้งเดิมของอิตาลีที่สกัดจากเปลือกองุ่น ก้าน และเมล็ดที่เหลือจากการทำไวน์ แต่สำหรับตระกูล Nonino พวกเขาไม่ได้มองมันเป็นแค่เครื่องดื่ม — พวกเขามองว่ามันคือ “มรดกทางวัฒนธรรม” ที่ต้องถูกยกระดับ

Nonino คือครอบครัวผู้บุกเบิกการเปลี่ยน Grappa จากเครื่องดื่มชาวบ้าน ให้กลายเป็นสุราระดับหรูที่เปี่ยมด้วยศิลปะ โดยเริ่มจากเมือง Percoto ในแคว้น Friuli ตั้งแต่ปี 1897 จนกลายเป็นชื่อที่ทั่วโลกไว้วางใจ

Nonino Grappa Friulana คือรุ่นที่สะท้อนตัวตนของ Friuli อย่างแท้จริง กลั่นจากองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นอย่าง Refosco ด้วยวิธีแบบแฮนด์เมดในหม้อทองแดง และบรรจุในขวดที่เรียบง่ายแต่สง่างาม

คาแรกเตอร์เด่น:

กลิ่นหอมเข้มข้นจากองุ่นสายพันธุ์ Refosco – เอกลักษณ์ของแคว้น Friuli
Grappa ขวดนี้กลั่นจาก Refosco องุ่นพื้นเมืองที่หายากและมีคาแรกเตอร์เฉพาะ ให้กลิ่นหอมของผลไม้แดงสุก เปลือกไม้ และเครื่องเทศอ่อน ๆ ที่สื่อถึง “รากเหง้าแห่งอิตาลีตอนเหนือ” ได้อย่างน่าหลงใหล

กลั่นด้วยศิลปะแบบดั้งเดิมในหม้อทองแดง
ทุกหยดของ Grappa นี้ได้มาจากการกลั่นแบบแฮนด์คราฟต์ใน Copper Still ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่สืบทอดกันมายาวนานในตระกูล Nonino ช่วยเก็บรักษาทั้งกลิ่นและโครงสร้างรสชาติอย่างบริสุทธิ์และสมดุล

รสสัมผัสสะอาด นุ่มลึก และทรงพลัง
แม้จะเป็น Grappa ที่เข้มข้น แต่กลับมอบสัมผัสที่นุ่มละมุนไม่บาดคอ รสชาติมีความซับซ้อนแบบแห้งนิด ๆ ตามสไตล์อิตาเลียนแท้ และเผยเสน่ห์ของผลไม้และสมุนไพรในช่วงท้ายอย่างชัดเจน

ตำนานของผู้ยกระดับ Grappa จากสุราพื้นบ้านสู่งานศิลปะ
Nonino ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิต Grappa แต่คือ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ที่เปลี่ยนภาพจำของเครื่องดื่มนี้ไปทั่วโลก ด้วยแนวคิดที่ให้เกียรติทั้งวัตถุดิบ ท้องถิ่น และศิลปะการกลั่น Grappa Friulana ขวดนี้จึงเป็นตัวแทนของความภูมิใจและความประณีตที่แท้จริง

7. Martini Extra Dry Vermouth

Martini คือชื่อที่เป็นตำนานในโลกแห่งเวอร์มุต (Vermouth) และค็อกเทลระดับโลก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1863 ที่เมือง Turin ประเทศอิตาลี โดย Alessandro Martini และ Luigi Rossi ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างเครื่องดื่มที่กลมกล่อมจากไวน์และพืชสมุนไพร

Martini Extra Dry เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1900 กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหราและความซับซ้อนในยุค Belle Époque และยังคงเป็นขวัญใจของนักดื่มทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยสูตรลับที่มีเพียงไม่กี่คนในโลกเท่านั้นที่รู้

ด้วยความ Dry ที่สมดุลกับความหอมละมุนของสมุนไพรและเปลือกผลไม้ Extra Dry จึงกลายเป็น “หัวใจของ Martini cocktail” และหลากหลายค็อกเทลคลาสสิกที่ทั่วโลกรู้จักกันดี

คาแรกเตอร์เด่น:

กลิ่นหอมซับซ้อนจากพฤกษชาติสูตรลับที่ไม่เปลี่ยนแปลงกว่า 120 ปี
Martini Extra Dry โดดเด่นด้วยการผสมผสานสมุนไพรกว่า 30 ชนิดอย่างปราณีต ทั้งเปลือกส้มเขียวหวาน ดอกไม้พื้นเมืองอิตาลี และเครื่องเทศจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน ให้กลิ่นหอมสดชื่นแบบแห้งแต่ไม่ขม พร้อมความละมุนที่เผยออกมาทีละชั้นในทุกจิบ

รสสัมผัส “Dry” อย่างมีมิติ – เรียบหรูแต่ไม่เย็นชา
ให้ความแห้งแบบคมชัด แต่ยังคงบาลานซ์ด้วยความหอมหวานปลายลิ้น ไม่เหมือน Dry Vermouth ทั่วไป เหมาะกับทั้งสายคลาสสิกและผู้ที่กำลังเริ่มต้นทำค็อกเทลที่บ้าน

หัวใจของค็อกเทล Dry Martini และคลาสสิกสไตล์อิตาเลียน
หากไม่มี Martini Extra Dry ก็ไม่มี Dry Martini ที่สมบูรณ์ — นี่คือเบสที่บาร์เทนเดอร์มือโปรทั่วโลกเลือกใช้ เพื่อให้ได้กลิ่นรสที่กลมกล่อมและซับซ้อนแบบไร้ที่ติ

8. Ron Zacapa Centenario Sistema Solera 23 Years

Ron Zacapa คือชื่อที่นักดื่มทั่วโลกต่างยกย่องในฐานะ “ราชันแห่งรัม” จากกัวเตมาลา ด้วยกระบวนการผลิตสุดประณีตจากอ้อยคุณภาพเยี่ยมของที่ราบสูง และการบ่มแบบ Sistema Solera ที่ซับซ้อนไม่เหมือนใคร

ชื่อ Zacapa นั้นมาจากเมืองเล็ก ๆ ในกัวเตมาลาที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง และเป็นที่ตั้งของโรงบ่มซึ่งอยู่สูงถึง 2,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล — สภาพอากาศเย็นสม่ำเสมอนี้ช่วยให้การบ่มเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จนได้รัมที่มีความนุ่มลึก สมดุล และซับซ้อนเหนือระดับ

Ron Zacapa 23 เป็นรุ่นที่ผสมผสานรัมอายุ 6–23 ปี ด้วยระบบ Solera ที่ใช้ถังบ่มหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นถังไม้โอ๊กเคยบ่มวิสกี้ บูร์บง เชอร์รี่ และไวน์ Pedro Ximénez ทำให้ได้รัมที่มีชั้นกลิ่นและรสชาติลึกซึ้ง

คาแรกเตอร์เด่น:

บ่มเหนือเมฆ รัมที่กลั่นความลึกซึ้งของเวลา
Ron Zacapa 23 เป็นรัมเพียงไม่กี่แบรนด์ในโลกที่บ่มใน “บ้านเหนือเมฆ” (House Above the Clouds) ณ ความสูงกว่า 2,300 เมตรจากระดับน้ำทะเลในกัวเตมาลา ทำให้การพัฒนารสชาติเป็นไปอย่างช้า ละเมียดละไม และกลมกล่อมอย่างไร้ที่ติ

กลิ่นและรสซับซ้อนหลายชั้นจากระบบ Solera
ด้วยระบบบ่ม Sistema Solera ที่นำรัมจากช่วงอายุ 6–23 ปี มาผสมผสานอย่างมีชั้นเชิง ผ่านถังไม้โอ๊กหลากประเภท ทั้งถังบูร์บง เชอร์รี่ และไวน์ Pedro Ximénez มอบสัมผัสของทอฟฟี่ วานิลลา ช็อกโกแลต ลูกพรุน และเครื่องเทศในทุกจิบ

เนื้อสัมผัสหรูหราแบบพอร์ตไวน์ แต่ยังคงจิตวิญญาณของรัมแท้
นี่คือลายเซ็นที่ทำให้ Ron Zacapa แตกต่าง ให้ประสบการณ์คล้ายดื่มพอร์ตหรือเชอร์รี่ไวน์ระดับพรีเมียม แต่ยังคงความเข้มข้นและหอมหวานที่เป็นตัวตนของรัมไว้อย่างชัดเจน

 

9. Plantation Barbados 5 Year Rum

Plantation Rum คือแบรนด์ที่เกิดจากการผสมผสานความเชี่ยวชาญของสองโลก วัตถุดิบและการกลั่นจากแคริบเบียน กับ ศิลปะการบ่มจากฝรั่งเศส โดย Maison Ferrand ผู้ผลิตคอนญักชั้นนำของฝรั่งเศส

รุ่น Barbados 5 Year คือหนึ่งในรุ่นที่สะท้อนความสมดุลอันยอดเยี่ยมของแนวคิดนี้ โดยใช้รัมจากประเทศบาร์เบโดส ที่กลั่นด้วยหม้อทองแดงแบบดั้งเดิม (pot still) และคอลัมน์สติลล์ (column still) ก่อนนำไปรินแอลกอฮอล์บ่มในถัง Bourbon อเมริกัน 3–4 ปี จากนั้นขนส่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังฝรั่งเศส เพื่อบ่มต่อในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสอีก 1–2 ปี

ผลลัพธ์คือรัมที่มีบุคลิกของแคริบเบียนอันร้อนแรง ผสานความหรูหราและความกลมกล่อมแบบยุโรป — เรียกได้ว่าเป็นรัมที่ผ่านการเดินทางและเติบโตอย่างแท้จริง

คาแรกเตอร์เด่น:

บ่มสองวัฒนธรรม กลิ่นอายแคริบเบียน ผสานความละเมียดแบบฝรั่งเศส
Plantation Barbados 5 Year ไม่ใช่แค่รัมธรรมดา แต่มันคือผลลัพธ์ของการบ่มในสองทวีป เริ่มจากถังบูร์บงในบาร์เบโดส เพื่อเก็บกลิ่นอายของอ้อยและผลไม้เมืองร้อน แล้วจึงเดินทางไปบ่มต่อในถังคอนญักฝรั่งเศส เพื่อเติมความลุ่มลึก หรูหรา และซับซ้อนเฉพาะตัว

กลิ่นหอมทรอปิคอลที่เย้ายวนใจและสมดุล
กลิ่นของกล้วยสุก วานิลลา น้ำตาลทรายแดง และทอฟฟี่ เปิดตัวอย่างชัดเจน ตามด้วยกลิ่นอบเชย พริกไทยขาว และโอ๊กคั่วบาง ๆ ทั้งหมดนี้รวมกันอย่างกลมกล่อมโดยไม่หวานจัดหรือหนักเกินไป

เนื้อสัมผัสนุ่มลื่น มีสไตล์ และดื่มง่าย
เป็นรัมที่มีโครงสร้างรสชาติชัดเจนแต่ไม่จัดจ้าน ดื่มเพลินทั้งแบบเพียวและแบบผสม เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเข้าสู่โลกของรัมพรีเมียม หรือคนที่ต้องการรัมที่ "บาลานซ์ทุกอย่างอย่างลงตัว"

 

10. Glenfiddich 18 Years Old

Glenfiddich คือหนึ่งในซิงเกิลมอลต์วิสกี้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก โดยก่อตั้งในปี 1887 โดย William Grant ณ เมือง Dufftown แห่งแคว้น Speyside ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวใจของการกลั่นวิสกี้สก็อต

รุ่น 18 Years Old เป็นหนึ่งในผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความประณีตอย่างแท้จริง โดยการเลือกใช้ถังบ่มแบบ Oloroso Sherry และ American Oak Bourbon ที่ผ่านการคัดสรรด้วยมือ และควบคุมการบ่มอย่างแม่นยำในแต่ละล็อตเล็ก ๆ (small batch) เพื่อให้ได้กลิ่นรสที่ลุ่มลึก มีความซับซ้อน แต่ยังคงบาลานซ์อย่างลงตัว สมกับเป็น Glenfiddich ในวัยที่โตเต็มที่

คาแรกเตอร์เด่น:

18 ปีแห่งความประณีตในทุกหยด
Glenfiddich 18 คือซิงเกิลมอลต์ที่สะท้อน “ความพิถีพิถันของเวลา” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการบ่มในถังไม้โอ๊กอเมริกันและถังเชอร์รี่ Oloroso จากสเปน ทำให้เกิดมิติกลิ่นและรสที่ลึกซึ้ง หรูหรา และกลมกล่อมอย่างลงตัว

โน้ตรสชาติที่ซับซ้อนแต่สง่างาม
กลิ่นเปิดตัวด้วยแอปเปิ้ลสุก ลูกพรุนอบ ส้มเชื่อม และเครื่องเทศอ่อน ๆ ก่อนจะพัฒนาไปสู่รสสัมผัสของทอฟฟี่ วานิลลา และโอ๊กคั่วเบา ๆ ทุกชั้นกลิ่นรสคลี่ตัวอย่างนุ่มนวลและสง่างาม

ควบคุมการผลิตแบบ Small Batch Reserve
ต่างจากรุ่นทั่วไป Glenfiddich 18 ผลิตในล็อตเล็กแบบควบคุมพิเศษ (Small Batch) เพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละขวดจะได้รสชาติที่กลมกล่อมและเสถียรอย่างไร้ที่ติ